02 ตุลาคม 2550

การจัดการความรู้ มุมมองจากปรัชญา

ปรัชญาวิเคราะห์การจัดการความรู้ มุมมองจากปรัชญาสมเกียรติ ตั้งนโมคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
หมายเหตุ :ผลงานชิ้นนี้แปลและเรียบเรียงจากบทความเรื่องFROM PHILOSOPHY TO KNOWLEDGEMANAGEMENT AND BACK AGAINJeremy Aarons Dr. Jeremy Aarons, School of Information Management and Systems, Monash University,26 Sir John Monash Drive, Caulfield East, Victoria 3145, Australia. Email: jeremy.aarons@sims.monash.edu.au1(บทความชิ้นนี้ยาวประมาณ 28 หน้ากระดาษ A4)
ข้อแนะนำสำหรับการอ่านงานทางปรัชญา หากอ่านแล้วไม่เข้าใจ อย่าฝืนใจอ่านจนจบ นอกจากจะเสียเวลาแล้ว จะไม่ได้ประโยชน์อันใดอีกด้วย ให้เก็บความเฉพาะส่วนที่รู้เรื่องเท่านั้น

ความนำ1. จากปรัชญาถึงการจัดการความรู้FROM PHILOSOPHY TO KNOWLEDGE MANAGEMENTแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอ่านบทนำเกี่ยวกับเรื่อง"การจัดการความรู้"(KM) โดยไม่กล่าวถึงปรัชญาเอาไว้บ้าง อันที่จริง เรื่องราวเกี่ยวกับ KM ตามตัวอักษรแล้ว ได้ถูกทำให้เกิดความฉงนโดยการอ้างอิงถึงบรรดานักปรัชญาและผลงานทางด้านปรัชญาต่างๆ กระนั้นก็ตาม เป็นที่น่าประหลาดใจว่า ทั้งๆที่มีการกล่าวถึงเกี่ยวกับทฤษฎีทางปรัชญาอย่างเหนียวแน่น แต่มันแทบจะไม่เห็นถึงความเชื่อมโยงกันในรายละเอียด ซึ่งได้รับการทำขึ้นมาระหว่าง"ทฤษฎีทางความรู้ในฐานะที่เป็นปรัชญา" กับ "ปฏิบัติการเกี่ยวกับการจัดการความรู้"เลย
ในบทความชิ้นนี้ ข้าพเจ้าจะทำการสำรวจถึงความสัมพันธ์กันระหว่าง"ปรัชญา"กับ"การจัดการความรู้" โดยจะมองไปที่ทฤษฎีทางปรัชญาซึ่งได้สนับสนุนต่อพัฒนาการของ KM และยิ่งถ้าเผื่อว่าเราเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับปรัชญาด้วยแล้ว ก็จะยิ่งทำให้เราสามารถนำมันไปประยุกต์ใช้กับโครงการต่างๆเกี่ยวกับ KM ให้เป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น
ในการทำเช่นนั้น แม้ว่าความสนใจจะมีให้กับเรื่องราวเกี่ยวกับ KM แต่ข้าพเจ้าจะชี้ไปถึงพื้นที่ทางปรัชญาบางพื้นที่ซึ่งเกี่ยวข้องเล็กๆน้อยๆกับ KM, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสนทนากันทางปรัชญาที่โดยขนบจารีตแล้ว เกี่ยวกับเรื่องญานวิทยา(ทฤษฎีความรู้) แต่อย่างไรก็ตาม มันค่อนข้างมีข้อจำกัดในประโยชน์ของมันเมื่อมาเกี่ยวข้องกับเรื่อง KM, เนื่องจากว่าญานวิทยาได้โฟกัสลงบนผลิตผลทางความรู้ของปัจเจกหรือความรู้ที่เป็นส่วนตัว มากกว่าการแบ่งปันและใช้ประโยชน์เกี่ยวกับความรู้ในบริบทร่วมกันของ KM
ถัดมา ข้าพเจ้าจะจำแนกแยกแยะวิธีการบางอย่าง ซึ่งปรัชญาสามารถถูกนำไปเกี่ยวโยงและสอดคล้องกับ KM, และจะมีการเน้นถึงพื้นที่ต่างๆเกี่ยวกับทฤษฎีทางปรัชญา ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีความหวังหรืออนาคตมากที่สุด ในการใช้ประโยชน์ทางด้านการปฏิบัติกับเรื่องของ KM
ข้อเสนอแนะของข้าพเจ้าคือว่า ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเชิงทฤษฎีที่มีความหวังหรืออนาคตอันนั้นสำหรับ KM มาจากผลงานเมื่อเร็วๆนี้ ทั้งในส่วนของปรัชญาวิทยาศาสตร์และในส่วนของของญานวิทยาทางสังคม(social epistemology)นั่นเอง
ก่อนที่จะกล่าวต่อไป ข้าพเจ้าต้องพูดถึงคำเตือนที่สำคัญอันหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับสิ่งที่ข้าพเจ้าได้พูดถึงในบทความชิ้นนี้ นั่นคือ ภูมิหลังของข้าพเจ้านั้น แรกเริ่มเดิมทีเป็นผู้ให้ความสนใจในเรื่องของปรัชญา และข้าพเจ้าเป็นคนที่ค่อนข้างใหม่ในสาขาวิชา"การจัดการความรู้" (knowledge management) ด้วยเหตุดังนั้น ข้าพเจ้าจึงใช้วิธีการศึกษาเรื่องของ KM ส่วนใหญ่จากทัศนียภาพของนักปรัชญาคนหนึ่ง โดยพยายามพุ่งเป้าไปที่การตีความสิ่งที่ KM เป็น, และมุ่งที่จะประเมินว่า KM ได้อิงอาศัยต่อการทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเชิงปรัชญาที่หลายหลากอย่างไร
เนื่องจาก การสนทนาของข้าพเจ้าเป็นจำนวนมากได้มีการโฟกัสลงไปที่ตำรับตำราเบื้องต้นต่างๆเกี่ยวกับการจัดการความรู้ และไม่ได้มีรายละเอียดมากมายนัก รวมถึงงานพิมพ์ต่างๆที่ไม่เฉพาะเจาะจง ด้วยเหตุนี้ การโฟกัสของข้าพเจ้าหลักๆจึงมาจากตำรับตำราที่นักศึกษาใช้ เช่นเดียวกับผลงานคำอธิบายทั้งหลายที่นำเสนอออกมาในช่วงแรกๆ เกี่ยวกับรากฐานในเชิงทฤษฎีของ KM. เนื้อหาจากแหล่งข้อมูลเหล่านี้ ควรที่จะมากพอสำหรับวัตถุประสงค์ข้างต้น เพราะว่าผลงานต่างๆดังที่กล่าว ประสงค์ที่จะนำเสนอถึงพื้นฐานที่เป็นรากเหง้าสำหรับ KM อันเป็นเค้าโครงทฤษฎีหรือหลักการที่จำเป็นของ KM นั่นเอง
วิธีการศึกษาเรื่องของ KM ในหนทางนี้นับว่าเป็นประโยชน์อย่างชัดเจนบางประการ เช่นเดียวกับที่มันอาจไม่เป็นประโยชน์มากมายนักเช่นกัน ในส่วนของประโยชน์หรือข้อได้เปรียบหลักคือว่า ข้าพเจ้ากำลังศึกษาเรื่องราวของ KM ด้วยจิตใจที่สดสะอาดและด้วยท่าทีในเชิงวิพากษ์ โดยไม่ต้องแบกรับภาระเกี่ยวกับแนวคิดที่มีมาก่อน ซึ่งคนอื่นๆต่างมีประสบการณ์ที่ช่ำชองและมากกว่าในสาขาวิชานี้ ดังที่พวกเขาครอบครองอยู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเข้ามาสู่ผลงานนี้ในฐานะที่เป็นนักปรัชญาคนหนึ่ง หมายความว่า ข้าพเจ้าได้วางตำแหน่งเอาไว้อย่างดี โดยเฉพาะในการที่จะทำการประเมินเกี่ยวกับความสมบูรณ์ของนิยามความหมายต่างๆและการศึกษาในเรื่อง KM, และความถูกต้องแม่นยำ รวมทั้งความเป็นประโยชน์เกี่ยวกับทฤษฎีทางปรัชญาที่หลากหลายซึ่งได้รับการพูดถึง
ส่วนข้อเสียเปรียบต่างๆคือว่า ความเข้าใจของตัวข้าพเจ้าเองเกี่ยวกับขอบเขต และรายละเอียดของผลงานที่กระทำขึ้นมาภายใต้ป้ายฉลาก"การจัดการความรู้" ซึ่งค่อนข้างมีข้อจำกัด และความลี้ลับบางอย่างนั้น รวมถึงความเกี่ยวข้องทั้งหลายในเรื่องดังกล่าว อาจทำให้ข้าพเจ้าละเลยรายละเอียดบางประการไปโดยไม่ทันสังเกต ด้วยเหตุดังนั้น ข้าพเจ้าจึงพยายามคงไว้ซึ่งคำเตือนต่างๆที่ตรงไปตรงมาในสิ่งที่ข้าพเจ้าพูด และพยายามที่จะโฟกัสมากเป็นพิเศษ ลงไปที่การใช้ทฤษฎีทางปรัชญาในเรื่องของ KM มากกว่าเรื่อง"การจัดการความรู้"โดยตัวของมันเอง
สำหรับความเข้าใจของข้าพเจ้าเกี่ยวกับเรื่องของ KM มาจากสองแหล่งด้วยกันคือ
แหล่งแรก มาจากตำราต่างๆอย่างหลากหลาย, รวมกระทั่งถึง website มากมาย และเอกสารจำนวนหนึ่งเกี่ยวกับการสนทนากันถึงเรื่องดังกล่าว ซึ่งได้นำเสนอแนวความคิดต่างๆที่เป็นรากฐานของ KM ต่อผู้รับรู้ทั่วๆไปส่วนใหญ่
แหล่งที่สอง มาจากโครงการต่างๆเกี่ยวกับเรื่อง KM โดยเฉพาะที่ได้รับการดำเนินการภายใต้โปรแกรมการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องของ KM ที่ Monash University, School of Information Management & Systems. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าได้รับอิทธิพลอย่างมากที่สุดจากโครงการเกี่ยวกับการพยากรณ์อากาศ[the Meteorological Forecasting project](Linger and Burstein, 2000)
แหล่งข้อมูลทั้งสองแหล่งได้ให้ภาพของ KM ในหนทางที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง กล่าวคือ ตำรับตำราต่างๆและคำอธิบายทั้งหลาย มีแนวโน้มที่เน้นถึง KM ในฐานะที่เป็นวาทกรรมของการปรับตัวทางธุรกิจ และมันได้รับการสร้างภาพขึ้นมา และสนทนากันถึงเรื่องราวนั้นในเนื้อหาเกี่ยวกับ KM เป็นส่วนใหญ่. ด้วยเหตุนี้ KM จึงถูกนิยามในฐานะที่เป็นกระบวนการอันหนึ่งซึ่งบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ได้ให้คุณค่าแก่ทรัพยากรต่างๆทางด้านความรู้ และแสวงหาวิธีการเพื่อที่จะมาจัดการความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้กิจกรรมกระแสหลักต่างๆของบริษัท (Gordon and Smith, 1998)
ในทำนองเดียวกัน "KM ก็เป็นกระบวนการอันหนึ่ง ซึ่งองค์กรต่างๆได้สร้างคุณค่าขึ้นมาจากคุณสมบัติทางด้านพื้นฐานความรู้และสติปัญญา(intellectual and knowledge-based assets)" ตัวอย่างที่ยกมา ซึ่งคำอธิบายเกี่ยวกับ KM ได้พัฒนาขึ้นภายใต้สภาพแวดล้อมขององค์กรทั้งหลาย, และส่วนใหญ่ของผลงานถูกทำขึ้นภายใต้ป้ายฉลากของ KM นั้น ได้รับการขับเคลื่อนโดยการจัดการที่ผูกพันอยู่ในบริบททางด้านธุรกิจ ซึ่งการศึกษาดังกล่าวไม่ได้รู้สึกประหลาดใจต่อเรื่องนี้แต่อย่างใด
และยังไม่รู้สึกประหลาดใจด้วยว่า คำถามต่างๆในเชิงทฤษฎีส่วนใหญ่เกี่ยวกับธรรมชาติของ KM หรือผลงานของ KM มีแนวโน้มที่จะได้รับการมองในฐานะที่เป็นสิ่งที่อยู่รอบนอก วัตถุประสงค์ที่ชัดเจนของ KM ไม่เกี่ยวข้องกับคำถามทางด้านแนวความคิดในระดับลึกใดๆ แต่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องพื้นๆของการขับดันและการสร้างเสริมความเจริญเติบโตของบริษัท ซึ่งประเด็นนี้ได้รับการพูดถึงอย่างชัดเจนในการสนทนาต่างๆของบทนำเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับเรื่อง KM แล้ว
ยกตัวอย่างเช่น website สำหรับ CIO magazine CIO.com ซึ่งกล่าวเอาไว้ว่า "วิธีการศึกษาในเชิงสร้างสรรค์อันหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องของ KM สามารถยังผลให้เกิดการปรับปรุงประสิทธิภาพ, ก่อให้เกิดผลผลิตที่สูงขึ้น และเพิ่มรายได้อย่างเป็นจริงเป็นจังให้กับภาคส่วนทางด้านธุรกิจ"
ในทางตรงข้ามกับอันนี้ โครงการ KM ต่างๆภายใต้โปรแกรมการวิจัยเกี่ยวกับ KM (the KM Research Program) ไม่ได้วางจุดเน้นลงบนเป้าหมายต่างๆของการปรับตัวทางด้านธุรกิจอย่างเดียวในเรื่องของความเจริญเติบโตของบริษัทและการแสวงหารายได้เพิ่มขึ้น แต่ได้ไปเน้นที่เป้าหมายต่างๆขององค์กรที่กว้างกว่าแทน ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีของ โครงการ KM เกี่ยวกับการพยากรณ์อากาศ
จุดมุ่งหมายของโครงการดังกล่าว ต้องการที่จะพัฒนาระบบ KM ที่จะไปช่วยเหลือหรือสนับสนุนภารกิจเกี่ยวกับการนำเสนอคำพยากรณ์ที่แม่นยำ มันบรรลุผลสัมฤทธิ์นี้อย่างมีประสิทธิภาพได้ โดยการบูรณาการทักษะซึ่งเป็นทรัพยากรทางความรู้ของนักพยากรณ์ เข้ากับ ระบบทางด้านเทคโนโลยีที่ได้สะสม ร่วมปัน และช่วยเหลือภารกิจที่ก่อเกิดผลผลิตของบรรดานักพยากรณ์ทั้งหลาย
ในที่นี้ ประสิทธิภาพของ KM ส่วนใหญ่ได้รับการเอาใจใส่โดยความสัมพันธ์กันระหว่าง การมีส่วนร่วมที่แตกต่างในกระบวนการเกี่ยวกับการพยากรณ์อากาศ - นั่นคือ กลุ่มนักพยากรณ์ที่เป็นมนุษย์, เทคโนโลยีต่างๆ ที่ได้ช่วยเหลือการพยากรณ์ของพวกเขา, ระบบต่างๆที่พวกเขานำมาใช้เพื่อสะสมและเผยแพร่คำพยากรณ์, ผลิตผลนานาชนิดที่พวกเขาสร้างขึ้น, และบรรดาลูกค้าซึ่งเป็นผู้รับและเป็นผู้ใช้ประโยชน์เกี่ยวกับคำพยากรณ์เหล่านั้น ทั้งหมดนี้คือส่วนประกอบต่างๆของพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับระบบที่กว้างขวาง และไม่สามารถที่จะถูกเข้าใจหรือจัดการโดยปราศจากความเข้าใจอย่างละเอียดละออเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างทุกๆส่วนของระบบข้างต้นนั่นเอง
สิ่งนี้ได้แสดงให้เห็นว่า เดิมทีนั้น KM ได้ถูกนำไปพัวพันกับความรู้ ดังที่มันได้รับการก่อเกิด, แบ่งปัน, สะสมขึ้นมา, และใช้ประโยชน์ภายในสภาพแวดล้อมที่ร่วมมือกัน. KM ยังถูกนำไปเกี่ยวโยงกับแง่มุมอื่นๆทั้งหมดของความรู้ ภายในกรอบหรือโครงร่างขององค์กรด้วย: นั่นคือ ความรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริงของแต่ละปัจเจกบุคคลภายในองค์กร เช่นเดียวกับความรู้ในเชิงปฏิบัติของพวกเขา, ความรู้เงียบ(tacit knowledge - ความรู้โดยนัย หมายถึงความรู้ที่แต่ละคนมี แต่ไม่ได้ถ่ายทอด), และความรู้ทางด้านเทคโนโลยี
ด้วยเหตุดังนั้น ถ้าเรามองไปที่ทฤษฎีทางปรัชญาเพื่อจัดหาหรือตระเตรียมรากฐานอันหนึ่งสำหรับภารกิจต่างๆของ KM เราก็จะต้องค้นหาพื้นที่เหล่านั้นที่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาเหล่านี้ในเชิงปฏิบัติที่เป็นจริงได้ เช่นเดียวกับการตระเตรียมความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในรูปแบบที่แตกต่างของความรู้ และความสัมพันธ์ต่างๆระหว่างความรู้ทั้งหลายเหล่านี้ ทฤษฎีทางปรัชญาจักต้องช่วยเราให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการที่อยู่ข้างใต้ด้วย ซึ่งมันสอดรับตรงประเด็นสำหรับเรื่อง KM
สำหรับช่วงตอนจบของบทความชิ้นนี้ ข้าพเจ้าจะสำรวจถึงพื้นที่บางพื้นที่ของปรัชญาเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งได้ให้ความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับกระบวนการต่างๆดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะถึงจุดนั้น ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะใช้เวลาสักเล็กน้อยเพื่อสำรวจถึงความสัมพันธ์ระหว่างปรัชญากับ KM โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์เกี่ยวกับปรัชญาในเรื่องราวของ KM
2. KM กับการอิงอาศัยเรื่องของปรัชญาKM AND THE APPEALS TO PHILOSOPHYความสัมพันธ์ระหว่างรากฐานเกี่ยวกับ"การจัดการความรู้" กับ "ทฤษฎีทางปรัชญา"เป็นเรื่องที่ใกล้ชิดกันโดยตรงอันหนึ่ง ผลงานต่างๆที่มีอิทธิพลและมีความสำคัญมากที่สุดในเรื่องของ KM ได้อิงอาศัยอย่างชัดเจนต่อบรรดานักปรัชญาและทฤษฎีต่างๆทางปรัชญาจำนวนหนึ่ง
จากการอ่านผลงานทั้งหลายเกี่ยวกับการสัมนา ส่วนหนึ่งของทฤษฎีบุกเบิกหรือนวัตกรรมในเรื่อง KM โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Sveiby, Nonaka และ Takeuchi, เป็นที่ชัดเจนว่า การประยุกต์ใช้ประโยชน์เกี่ยวกับความเข้าใจอย่างถ่องแท้ทางปรัชญา ได้วางรากฐานสำหรับผลงานในช่วงบุกเบิกของพวกเขาเป็นจำนวนมากในเรื่องการจัดการความรู้K. E. Sveiby (1994, 1997, 2001) ได้กล่าวถึงผลงานจำนวนมากของบรรดานักปรัชญาในการพูดคุยของเขาเกี่ยวกับธรรมชาติของ KM โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนใหญ่ Sveiby ได้อาศัยผลงานของทั้ง Polanyi และ Wittgenstein โดยตรงในการอธิบายของเขา และการสืบค้นในเรื่องรากฐานเกี่ยวกับการจัดการความรู้
ไอเดียของ Polanyi เกี่ยวกับความรู้เงียบ(tacit knowledge)มีใจกลางอยู่ที่ความเข้าใจเกี่ยวกับ KM ของ Sveiby ด้วย - สำหรับ Sveiby โครงการเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรที่เป็น"ความรู้เงียบ"ของเราคือจุดมุ่งหมายหลักของ KM. Sveiby ยังกล่าวถึงวิธีการศึกษาของ Wittgenstein ในเรื่องความหมายและความรู้ ซึ่งเขามองว่า มันสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับวิธีการของ Polanyi แม้ว่าเขาจะไม่ได้ลงไปในรายละเอียดเกี่ยวกับว่า ไอเดียหรือความคิดต่างๆเหล่านี้ว่า มันสัมพันธ์เชื่อมโยงกับทัศนะของเขาในเรื่อง KM อย่างไร
Nonaka (1994), Nonaka and Takeuchi (1995) ได้พูดถึงทิวแถวที่กว้างขวางอันหนึ่งของบรรดานักปรัชญา และลำดับการของทัศนียภาพทางปรัชญาที่แตกต่างในงานที่ทรงอิทธิพลของพวกเขาเกี่ยวกับเรื่อง KM. บทที่ 2 ของ Nonaka and Takeuchi (1995) ได้รวมเอาการสนทนาที่ขยายกว้างออกไปอันหนึ่งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทางปรัชญา นับจาก Plato และ Aristotle ตลอดจนกระทั่งถึง Descartes และ Locke; Kant, Hegel และ Marx; Husserl, Heidigger, Sartre, Merleau-Ponty, Wittgenstein, James และ Dewey
พวกเขายังได้มีการพูดถึง Herbert Simon, Gregory Bateson ด้วย และยังให้ความสนใจเป็นการเฉพาะต่อไอเดียของ Polanyi เกี่ยวกับความรู้เงียบด้วยเช่นกัน พวกเขายังพูดถึงผลงานทางปรัชญาอีกจำนวนหนึ่งอย่างสั้นๆ อย่างเช่น แบบจำลองทางสติปัญญาต่างๆ ของ Johnson-Laird (1983), รวมทั้งเรื่องความรู้และการไหลของข้อมูลของ Fred Dretske (1981) เช่นเดียวกับทฤษฎีข้อมูลของ Shannon
ที่น่าสนใจคือว่า Nonaka และ Takeuchi ยอมรับข้อจำกัดบางอย่างเกี่ยวกับทฤษฎีทางปรัชญาเหล่านี้ ยกตัวอย่างเช่น พวกเขาสร้างประเด็นขึ้นมาว่า วิธีการศึกษาทางปรัชญาได้ถูกจำกัดมาแต่แรก เมื่อมันมาถึงการอธิบายเรื่องการสร้างความรู้ขององค์กรขึ้นมา - พวกเขาอ้างว่ามันขาดเสียซึ่งนวัตกรรมใหม่ๆยังมีบุคคลทางปรัชญาที่สำคัญคนอื่นๆอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งได้รับการกล่าวถึงในเรื่องของ KM. อันนี้เป็นการเพิ่มเติมจากคนที่เราได้พูดถึงกันไปแล้ว ซึ่งมีรายชื่อผลงานต่างๆของบรรดานักคิดเหล่านี้ที่ได้มาช่วยเหลือสนับสนุน, แม้ว่าจะไม่ได้โดยตรงก็ตาม, ต่อความเข้าใจในปัจจุบันเกี่ยวกับการจัดการความรู้ เช่น
- Gilbert Ryle (1940-50s): The distinction between knowing that and knowing how.- Michael Polanyi (1966): Tacit knowledge- Ludwig Wittgenstein (1920s): Meaning is use- Michel Foucault (1970s): Knowledge is power- Thomas Kuhn (1970s): Paradigms- Karl Popper (1960s): Three worlds- Jean-Francois Lyotard (1984): The Postmodern Condition - data, information,knowledge.- Jurgen Habermas (1984): The Theory of Communicate Action, Volume One: Reason and the Rationalization of Society- Charles Saunders Peirce (1839-1914) and other American the pragmatists(James, Dewey, Rorty)
อย่างชัดแจ้ง สาขาความรู้เกี่ยวกับเรื่อง KM ได้เป็นหนี้บุญคุณอย่างลึกซึ้งต่อไอเดียหรือความคิดต่างๆของบรรดานักปรัชญาเป็นจำนวนมากเหล่านี้: นับจากการนิยามความหมาย, การทำให้เป็นหมวดหมู่, การแยกแยะเกี่ยวกับศัพท์คำว่า"ความรู้" ซึ่งได้รับมาโดยตรงจากผลงานของนักปรัชญามากมาย แน่นอน ทฤษฎีต่างๆทางปรัชญานั้น ดูเหมือนจะเป็นแกนกลางซึ่งเป็นรากฐานต่างๆของ KM - แต่ในหนทางใดล่ะที่พวกมันมีนัยสำคัญ และทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
แม้ว่าความกว้างขวางอันนี้ จะอิงอาศัยฐานรากทางปรัชญาและนักปรัชญาทั้งหลาย แต่ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ความเชื่อมโยงกันจริงๆระหว่าง"ทฤษฎีทางปรัชญา" กับ "รายละเอียดในทางปฏิบัติของ KM" นั้น ค่อนข้างจะอ่อนแอมาก ปัญหาคือมันไม่ชัดเจนนักที่ว่า ความคิดทางปรัชญาต่างๆ จริงๆแล้ว ได้ช่วยเหลือหรือสนับสนุนอย่างไรต่อความเข้าใจในเชิงทฤษฎี และเกี่ยวกับความเกี่ยวโยงกับเรื่องของ KM
ยกตัวอย่างเช่น ในงานของ Nonaka and Takeuchi (1995) แม้ว่าจะได้มีการพูดถึงกันมากมายเกี่ยวกับบรรดานักปรัชญาและปรัชญาในช่วงบทต้นๆก็ตาม แต่เมื่อพวกเขาเคลื่อนต่อไปข้างหน้า สู่การสนทนาถึงรายละเอียดในเชิงปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องของ KM ดูเหมือนว่าพวกเขาจะทำการเชื่อมโยงย้อนกลับไปถึงความคิดต่างๆทางปรัชญา ซึ่งพวกเขาได้พูดถึงมาก่อนหน้านั้นน้อยมาก หรือแทบไม่ได้เชื่อมโยงถึงมันเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันอิงอาศัยไอเดียต่างๆทางปรัชญาที่ชัดเจนน้อยมาก
ในการสนทนาเชิงปฏิบัติของพวกเขาเกี่ยวกับ การที่ใครคนหนึ่งจะเกี่ยวข้องอย่างไรกับโครงการในการจัดการความรู้ เกือบจะพูดได้เลยว่า การสนทนากันทางปรัชญาซึ่งได้รับการนำเสนอออกมามากมาย ในความสนใจนี้เป็นเพียงเรื่องปลีกย่อยหรือเรื่องที่อยู่รอบนอก มากกว่าที่จะเป็นการตระเตรียมความเข้าใจอย่างถ่องแท้และลึกซึ้งในการสนทนาเกี่ยวกับเรื่องของ KM
ดังนั้นมันจึงไม่ชัดเจนว่า ไอเดียความคิดต่างๆทางปรัชญาได้ตระเตรียมอะไรที่มากกว่าเป็นบริบทหนึ่งในบทนำสำหรับการสนทนาเกี่ยวกับเรื่องของ KM ของพวกเขาเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันไม่เป็นการชัดเจนว่า การอิงอาศัยใดๆของพวกเขาเกี่ยวกับพื้นฐานทางปรัชญา ได้ดำรงอยู่เพื่อเป็นกรอบโครงร่าง KM ของพวกเขา
ด้วยเหตุดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่มีคุณค่าหรือประโยชน์ในการที่จะมองเข้าไปในรายละเอียดเกี่ยวกับความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันที่แท้จริงระหว่าง"ปรัชญา"กับ"KM" - กล่าวคือ พยายามจ้องดูว่า แต่ละสาขาวิชาได้ให้นิยามความหมาย KM กันอย่างไร(how) ทำไม(why)แนวความคิดดังกล่าวจึงมีนัยสำคัญสำหรับแต่ละสาขาวิชา และอะไร(what)ที่แต่ละสาขาวิชาได้พูดถึงแนวความคิดนี้ เป็นต้นในที่นี้สมควรที่จะเน้นว่า การสนทนาของข้าพเจ้าจะโฟกัสลงไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างเรื่องของ KM กับ เรื่องของปรัชญาเป็นปฐม ดังที่มันได้รับการปฏิบัติกันภายในขนบประเพณีของการวิเคราะห์แบบตะวันตก(Western Analytic tradition) ด้วยเหตุนี้คำว่า"บรรดานักปรัชญา"ซึ่งข้าพเจ้าอ้างถึง ณ ที่นี้ ก็คือบุคคลเหล่านั้นที่ทำงานอยู่ภายใต้ขนบจารีตการวิเคราะห์แบบตะวันตกเกี่ยวกับปรัชญา และเมื่อไรก็ตามที่ข้าพเจ้าใช้คำว่า"ปรัชญา" โดยทั่วไปแล้วข้าพเจ้ากำลังอ้างถึงขนบประเพณีดังกล่าวนั่นเอง
ขนบจารีตนี้ได้ย้อนรอยกลับไปยังบรรดานักปรัชญากรีกโบราณ และได้ส่งทอดอิทธิพลอย่างลึกซึ้งให้กับเหล่านักปรัชญาทั้งหลาย อย่างเช่น Descartes; บรรดานักประสบการณ์นิยม เช่น Hume และ Locke และนักอุดมคตินิยมชาวเยอรมัน Kant; บรรดานักปรัชญาราวต้นคริสตศตวรรษที่ 20 อย่างเช่น Frege, Russell, และ Wittgenstein; และนักปรัชญาอเมริกันสมัยใหม่ อย่าง Quine, Davidson, Kripke, และ Rawls
ขนบจารีตอันนี้ตรงข้ามกับสิ่งที่มักได้รับการเรียกขานบ่อยๆว่า จารีตทางปรัชญาแบบ"ภาคพื้นทวีป"(continental tradition in philosophy) ที่เลื่อนไหลผ่านผลงานของบรรดานักคิด อย่างเช่น Neitzche, Hegel, Heidigger, Husserl, Derrida และ Levinas. อันนี้มีรากเดียวกันกับขนบจารีตแบบวิเคราะห์(analytic tradition) แต่ได้แยกตัวออกมาอย่างแหลมคมในเทอมต่างๆ ทั้งในส่วนของวิธีการและชนิดของคำถามต่างๆที่มันพยายามตอบ
บางคนได้ให้อัตลักษณ์ถึงความแตกต่างดังนี้คือ: ขนบจารีตแบบวิเคราะห์(analytic tradition) เป็นงานที่แหลมคม แคบแต่ลึกซึ้ง มีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้ข้อถกเถียงเกิดความชัดเจนและมีความถูกต้องแม่นยำ ในขณะที่ขนบจารีตแบบภาคพื้นทวีป(continental tradition) เป็นเรื่องกว้างๆ ไม่ลึกซึ้ง ค่อนข้างเอาใจใส่กับประเด็นปัญหาทางการเมือง วัฒนธรรม และรวมถึงสถานการณ์ของมนุษย์มากกว่าโดยทั่วๆไป
เหตุผลของข้าพเจ้าในการโฟกัสลงไปที่ขนบจารีตการวิเคราะห์แบบตะวันตก มากกว่าขนบจารีตแบบภาคพื้นทวีปมีอยู่สองประการ คือ
ประการแรก ส่วนใหญ่ของเรื่อง KM ที่จริงแล้ว ได้อิงอาศัยขนบจารีตอันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ใช้เรื่องราวเกี่ยวกับความรู้ของ Cartesian (มีรากมาจาก Desartes) และบรรดาผู้รับช่วงสืบทอดในหนทางดังกล่าว ด้วยเหตุดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างสาขาวิชาเหล่านี้จึงชัดเจนว่าคู่ควรกับการวิเคราะห์
ประการที่สอง และเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ ข้าพเจ้าเชื่อว่า ขนบจารีตแบบวิเคราะห์สามารถนำเสนอความเข้าใจอย่างถ่องแท้และสำคัญให้กับเรื่องของ KM ได้ ซึ่งอาจขัดแย้งกับวิธีการศึกษาบางอย่างที่เห็นด้วยหรือรับรองในขนบจารีตแบบภาคพื้นทวีป ซึ่งน่าสนใจที่ว่า ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในทางปรัชญา ซึ่งเป็นประโยชน์มากที่สุดบางอย่างสำหรับเรื่องของ KM มาจากขนบจารีตแบบภาคพื้นทวีป เนื่องจากวิธีการศึกษานั้น มีแนวโน้มที่จะกวาดตามองอย่างกว้างๆไปที่ความเกี่ยวโยงกับเรื่องสังคม การเมือง และความเป็นจริงในเชิงปฏิบัติที่รายรอบแนวความคิดดังกล่าว
แต่อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ารู้สึกว่า วิธีการศึกษาแบบภาคพื้นทวีปสามารถมีแนวโน้มที่เกี่ยวโยงกับคำถามต่างๆซึ่งค่อนข้างกว้างมากเกินไปสำหรับความเกี่ยวพันกับเรื่อง KM และในการกระทำเช่นนั้น ก็ได้สูญเสียความเชื่อมโยงที่สำคัญไประหว่าง"ความรู้"และ"ความจริง"
ในข้อพิจารณาดังกล่าว ช่วงตอนท้ายของส่วนนี้ข้าพเจ้าจะอภิปรายถึงวิธีการศึกษาเชิงวิเคราะห์ต่อคำถามทั้งหลายข้างต้น ซึ่งสามารถที่จะนำเสนอ KM ด้วยแนวทางที่สำคัญบางอย่าง
สิ่งหนึ่งซึ่งได้เข้ามาจู่โจมนักปรัชญาแนววิเคราะห์ เมื่อพวกเขาได้เผชิญหน้ากับเรื่องของ KM เป็นครั้งแรกก็คือ วิธีการที่ศัพท์คำว่า"ความรู้"(knowledge)ถูกใช้นั่นเอง เมื่อบรรดานักปรัชญาทั้งหลายพูดคุยเกี่ยวกับ"ความรู้" พวกเขามีแนวโน้มที่จะหมายถึงบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งแตกต่างไปเลยทีเดียวกับการที่นักเขียนเรื่อง KM อ้างอิงถึง"ความรู้"
โดยแบบแผนแล้ว บรรดานักปรัชญาทั้งหลายได้ให้นิยามความหมาย"ความรู้" ในฐานะที่เป็นเรื่องส่วนตัวอันหนึ่งโดยแก่น ซึ่งผูกพันกับข้อเท็จจริงที่เป็นจริงต่างๆ(true facts)เกี่ยวกับโลก: ความรู้เป็นความจริงของปัจเจก(an individual's true), และเป็นความเชื่อที่มีเหตุผล(justify belief) ความรู้ที่พัวพันมากไปกว่าความเชื่อในข้อเท็จจริงที่แน่นอนอันหนึ่งเกี่ยวกับโลกของใครบางคนคือ : รู้บางสิ่งอย่างแท้จริงซึ่งคุณจะต้องเชื่อมัน, คุณจะต้องมีหลักฐานหรือเหตุผลที่ดีในการเชื่อว่ามันเป็นความจริง และมันจะต้องเป็นจริงด้วยด้วยเหตุนี้ วิธีการศึกษาตามขนบจารีตในเรื่องญานวิทยา(epistemology) - ทฤษฎีเกี่ยวกับความรู้ - แรกเริ่มได้ถูกนำไปเกี่ยวพันกับ "ความรู้คืออะไร และมันสามารถได้รับการพิสูจน์อย่างไร มากกว่าไปสนใจว่าความรู้ได้ถูกสร้างขึ้นและถูกใช้กันอย่างไร?" วิธีการศึกษาอันนี้ที่จะนิยามความรู้ มันตรงข้ามอย่างชัดเจนกับการนิยามความหมายที่นำเสนอเป็นแบบแผนอยู่ในเรื่องราวของ KM ยกตัวอย่างเช่น
ในตำราเบื้องต้นเกี่ยวกับ"การจัดการความรู้"(knowledge management) Rumizen ได้ให้นิยามความหมายความรู้ในฐานะที่เป็น "ข้อมูล ในบริบทของการผลิตความเข้าใจที่สามารถทำการได้"(2002:6, 288) ในทำนองเดียวกัน Davenport & Prusak ได้ให้นิยามความรู้ว่า:
"ความรู้คือส่วนผสมที่เลื่อนไหลของประสบการณ์ที่ได้รับการวางโครงร่าง, เป็นคุณค่าต่างๆ, ข้อมูลในเชิงบริบท, และความเข้าใจอย่างถ่องแท้ที่ชำนาญการ ซึ่งได้นำเสนอกรอบหรือโครงร่างอันหนึ่งขึ้นมา เพื่อการประเมินและการวบรวมประสบการณ์และข้อมูลใหม่ๆ. มันให้กำเนิดและถูกประยุกต์ใช้ในใจของบรรดาผู้รู้ทั้งหลาย ในองค์กรต่างๆ บ่อยครั้งมันได้รับการฝังตรึงไม่เพียงอยู่ในเอกสารต่างๆหรือในคลังความรู้เท่านั้น แต่ยังอยู่ในงานประจำ, กระบวนการ, การปฏิบัติ และบรรทัดฐานขององค์กรด้วย"(1998: 5)นิยามความหมายที่เป็นทางการนี้เกี่ยวกับความรู้เป็นสิ่งที่โต้เถียงกันมากทีเดียว และเป็นหัวข้อหนึ่งของการถกเถียงอภิปรายกันอย่างกระฉับกระเฉงตลอดมา แต่อย่างไรก็ตาม บรรดานักปรัชญาทั้งหลายมีแนวโน้มในการเห็นด้วยว่า นิยามความหมายอันนี้มันถูกต้องเพียงหยาบๆ และการโต้เถียงส่วนใหญ่เป็นเรื่องรายละเอียดที่ลึกลงไปต่างๆเกี่ยวกับวิธีการนี้
นิยามความหมายข้างต้น ไม่ได้มองว่า"ความรู้เป็นเรื่องความจริงส่วนตัวโดยสาระ, หรือเป็นความเชื่อที่มีเหตุผล", แต่กลับมีความนึกคิดอันหนึ่งเกี่ยวกับ "ความรู้ ในฐานะที่เป็นเครื่องมือในเชิงปฏิบัติอันหนึ่ง สำหรับประสบการณ์ต่างๆที่ได้รับการวางกรอบแทน เป็นการแบ่งปันความเข้าใจต่างๆและการช่วยเหลือ เกี่ยวกับภารกิจทั้งหลายในทางปฏิบัติ"
กล่าวให้ชัดก็คือ สำหรับ KM "ความรู้" คือบางสิ่งบางอย่างซึ่งแตกต่างไปจากความเข้าใจของปัจเจกชนเท่านั้น ในข้อเท็จจริงต่างๆเกี่ยวกับโลก - มันกลับกลายเป็นเครื่องมือในเชิงปฏิบัติที่เป็นจริงอันหนึ่ง สำหรับการจัดการอย่างชำนิชำนาญหรือควบคุมโลก. ในความหมายนี้มันคือสิ่งที่ Iivari เสนอเอาไว้เป็น"ข้อสรุป 4 ข้อเกี่ยวกับความรู้"ดังต่อไปนี้คือ:
- ความรู้เป็นเรื่องของชุมชน (Knowledge is communal)- ความรู้เป็นกิจกรรมที่มีลักษณะเฉพาะ (Knowledge is activity-specific)- ความรู้เป็นสิ่งที่ได้รับการเผยแพร่ (Knowledge is distributed)- ความรู้เป็นประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรม (Knowledge is cultural-historical) (Iivari 2000: 261)
จากมุมมองหรือทัศนียภาพของญานวิทยาตามขนบจารีต วิธีการให้นิยามความหมายความรู้ลักษณะนี้ ฟังดูแล้วรู้สึกแปลกๆแน่ การศึกษาข้อสรุปเหล่านี้ในฐานะนักปรัชญาวิเคราะห์คนหนึ่ง เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจความเชื่อมโยงกันระหว่างแนวความคิดเกี่ยวกับความรู้นี้ กับ แนวความคิดเกี่ยวกับความรู้ดังที่บรรดานักปรัชญาทั้งหลายได้นิยามมันขึ้นมาเป็นแบบแผน ถ้าเผื่อว่าความรู้ โดยแก่นหรือสาระแล้วเป็นเรื่องส่วนตัว ทำอย่างไรมันถึงสามารถเป็นของชุมชนหรือถูกเผยแพร่ได้?
ความแตกต่างกันข้างต้น สามารถได้รับการอธิบายได้ดีที่สุดโดยการทำความเข้าใจถึงวิธีการที่แตกต่าง ซึ่งทั้งสองสาขาวิชาได้ศึกษาถึงปัญหาดังกล่าวเกี่ยวกับการนิยามความรู้ และการทำความเข้าใจว่า ทำไมสาขาวิชาเหล่านี้จึงสนใจในแนวความคิดเกี่ยวกับความรู้ในประการแรก
ในทางตรงข้าม KM ไม่ค่อยสนใจที่จะโฟกัสลงไปที่ความรู้ที่มีเหตุผลพิสูจน์ได้มากนัก แต่มันกลับสนใจในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์เกี่ยวกับความรู้แทน ทั้งนี้เพื่อที่จะไปเกี่ยวกับข้องกับภารกิจในเชิงปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า ซึ่งพัวพันอยู่กับกิจกรรมที่มีพื้นฐานอยู่บนเรื่องของความรู้(knowledge-based activity)
ตามลำดับ สาขาวิชาต่างๆที่เกี่ยวกับ"ปรัชญา"และ"KM" ได้ศึกษาคำถามเกี่ยวกับการนิยามความรู้ในหนทางที่แตกต่างกันมาแต่ต้น ความแตกต่างหลักๆของพวกมัน วางอยู่บนข้อเท็จจริงที่ว่า บรรดานักปรัชญาทั้งหลาย เดิมทีเดียว ให้ความเอาใจใส่กับปัญหาเกี่ยวกับวิมตินิยม(scepticism - มีความสงสัย หรือกังขาคติ เป็นที่ตั้ง), ในทางตรงข้าม KM กลับจ้องมองไปที่ความรู้ในเทอมต่างๆของการปฏิบัติได้ต่างๆ
อันนี้คือความแตกต่างกันขั้นพื้นฐาน และมันได้น้อมนำไปสู่แนวความคิดที่ต่างกันเกี่ยวกับการให้นิยามความหมาย และความสำคัญของความรู้
แง่มุมส่วนตัวเกี่ยวกับความรู้ เป็นบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นมาจากวิธีการที่บรรดานักปรัชญาทั้งหลาย ได้ศึกษาถึงคำถามเกี่ยวกับสิ่งซึ่งได้ก่อร่างสร้างความรู้ที่แท้จริงขึ้นมา ข้อถกเถียงต่างๆร่วมสมัยในทางญานวิทยา โดยสาระแล้ว ได้ย้อนรอยกลับไปสู่ผลงานของ Rene Descartes และวิธีการของเขาเกี่ยวกับความสงสัย
ในผลงานเรื่อง Meditations on First Philosophy (1640) Descartes ได้ทำการสืบค้นเข้าไปสู่ธรรมชาติของความรู้ ในที่นี้ Descartes พยายามที่จะค้นหาหลักการที่เป็นรากฐานซึ่งความรู้ของเราพักพิงอยู่ โดยการพยายามที่จะพิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงบางชนิด ซึ่งเราสามารถแน่ใจได้เกี่ยวกับมันจริงๆ ด้วยเหตุนี้เขาจึงให้การสนับสนุนสิ่งที่เราต้องการที่รื้อถอนทุกสิ่งลงมาอย่างสมบูรณ์ และเริ่มต้นใหม่อีกครั้งจากรากฐานต่างๆ (Descartes1996:12) สำหรับ Descartes ความท้าทายที่แท้จริงในที่นี้คือ"วิมตินิยม"(ความสงสัย) - ถ้าหากว่ามันมีความเป็นไปได้ใดๆในข้อสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า"ความรู้"ว่ามันเป็นจริงหรือไม่ นั่นย่อมแสดงว่ามันไม่สามารถเป็นความรู้ที่แท้จริงได้. การสืบค้นของ Descartes พยายามที่จะเสาะหาสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงต่างๆเกี่ยวกับโลกภายนอก ซึ่งพ้นไปจาก"วิมตินิยม"หรือความสงสัย เพื่อที่จะค้นให้พบพื้นฐานเกี่ยวกับความรู้ของเราทั้งหมด
การดำเนินรอยตามระเบียบวิธีเช่นว่านี้ Descartes ได้มาถึงข้อเสนออันมีชื่อเสียงของเขา คือ "cogito ergo sum" - I think therefore I exist - (ฉันคิด ดังนั้นฉันจึงมีอยู่) ซึ่งเขาอ้างข้อเสนอดังกล่าว"ฉันจึงมีอยู่"ซึ่งพ้นไปจากข้อสงสัย
ญานวิทยาร่วมสมัยได้ดำเนินรอยตามขนบจารีต Cartesian นี้อย่างแข็งขัน, มีการโฟกัสเกี่ยวกับคำถามการให้เหตุผลเกี่ยวกับความรู้ในการเผชิญหน้ากับความสงสัย. เนื่องจากว่าคำถามอันนี้เกี่ยวกับการให้กำเนิดของความรู้ที่เป็นจริง และเกี่ยวกับการใช้และบริบทต่างๆของความรู้ ซึ่งไปผูกโยงรายรอบกับทฤษฎีต่างๆส่วนใหญ่ในญานวิทยา
ในทางที่ตรงข้ามกันอย่างชัดเจนกับอันนี้ KM ได้ถูกนำไปผูกโยงกับชนิดของคำถามต่างๆในเชิงปฏิบัติข้างต้น สำหรับความรู้ของ KM เป็นสิ่งที่ไกลห่างมากจากความแน่นอนส่วนตัวเกี่ยวกับโลก - มันเป็นเรื่องซึ่งไปเกี่ยวข้องกับความสามารถในทางปฏิบัติ เช่นเดียวกับความเข้าใจในเชิงแนวคิด และสิ่งสำคัญมากไปกว่านั้น KM ได้ถูกนำไปเกี่ยวโยงกับผลผลิต, การเก็บรักษา, และกระบวนการเกี่ยวกับความรู้ในกลุ่ม หรือในความหมายของการแบ่งปัน. ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่สอดคล้องตรงประเด็นเกี่ยวกับแนวความคิดเรื่องความรู้สำหรับ KM จึงแตกต่างไปมากทีเดียวจากความสอดคล้องตรงประเด็นของมันกับบรราดนักปรัชญาทั้งหลาย
ประเด็นที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะเน้นในที่นี้คือว่า ตราบเท่าที่ KM ยังถูกนำมาเกี่ยวข้อง มันมีข้อจำกัดต่างๆที่สำคัญในการศึกษาตามจารีตในทางญานวิทยา ญานวิทยาตามขนบจารีตจะเพ่งความสนใจลงไปที่คำถามต่างๆเกี่ยวกับความรู้ที่เป็นส่วนตัวหรือปัจเจก ด้วยประเด็นหลักที่ว่า เรารู้ถึงบางสิ่งบางอย่างได้อย่างไรในฐานะปัจเจก - ความไว้วางใจต่อข้อมูลประสาทสัมผัส, ประสบการณ์, และพยานหลักฐาน ฯลฯ เป็นอย่างไร
ฐานะดังที่กล่าว บรรดานักปรัชญาทั้งหลายได้กระทำภารกิจที่ดีเลิศอันหนึ่งเกี่ยวกับการให้นิยาม"ความรู้"ในความหมายนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ญานวิทยาแบบจารีตไม่ได้ถูกนำให้ไปเกี่ยวโยงกับผลิตผลและกระบวนการของความรู้ในกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง หรือในความหมายของการแบ่งปันความรู้ - จริงๆแล้ว มันไม่ได้ผูกพันกับการปฏิบัติการเกี่ยวกับผลผลิตทางความรู้และการใช้งาน
ประเด็นปัญหาหลักในญานวิทยาคือ สถานภาพของผลผลิตในขั้นสุดท้าย มากกว่ากระบวนการได้มาซึ่งความรู้ และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากความรู้ได้ถูกได้มา แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยต่างๆที่ชัดเจน ซึ่งเกี่ยวข้องกับประโยชน์หรือความสนใจของ KM
ผลสรุปเกี่ยวกับเรื่องนี้คือว่า พ้นไปจากการวิเคราะห์มาแต่แรกเกี่ยวกับว่า ความรู้คืออะไร? การศึกษาตามขนบจารีตของญานวิทยา จริงๆแล้ว สามารถนำเสนอหนทางอันเป็นประโยชน์ต่อความเข้าใจเล็กน้อยมากสำหรับ KM. ด้วยเหตุนี้ เราจะต้องมองไปยังที่อื่นๆเพื่อค้นหาการช่วยเหลือหรือข้อสนับสนุนต่างๆอันเป็นประโยชน์จากปรัชญา
เราจะต้องอ่อนไหวต่อความหมายที่ต่างไปเกี่ยวกับคำว่า"ความรู้" ดังที่มันถูกใช้โดยบรรดานักปรัชญาทั้งหลาย และเข้าใจว่า KM ได้ประยุกต์ใช้แนวความคิดเกี่ยวกับความรู้ที่มีลักษณะเฉพาะเอามากๆ จริงๆแล้ว อันนี้ไม่ควรเป็นเรื่องที่ต้องรู้สึกประหลาดใจสำหรับผู้คนที่ทำงานกับ KM
ในส่วนตัวข้าพเจ้าคิดว่า อันที่จริง นี้คือประเด็นหนึ่งซึ่งบรรดานักทฤษฎี KM ส่วนใหญ่ต่างก็ทราบกันดีอยู่แล้ว กระนั้นก็ตามทั้งๆที่ทราบกันอยู่แล้ว แต่มันเป็นประเด็นหนึ่งที่ว่า บ่อยครั้งเรื่องนี้ได้รับการมองข้ามเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานแนะนำเบื้องต้น และสิ่งนี้สามารถที่จะก่อให้เกิดความสับสนที่รุนแรงขึ้นมาได้ สำหรับใครบางคนที่ทำความเข้าใจเรื่องของ KM เป็นครั้งแรกอย่างไรก็ตาม มันคือบทเรียนที่สำคัญมากอันหนึ่งสำหรับ KM ที่ควรได้รับการพูดถึงสำหรับการสนทนากันนี้: KM ไม่ควรที่จะละเลยความสำคัญเกี่ยวกับความเข้าใจอย่างถ่องแท้ทางปรัชญาในเรื่องธรรมชาติของความรู้. แม้ว่าสาขาวิชาที่ต่างกัน จะมีความสนใจโดยพื้นฐานที่แตกต่างกันในแนวความคิดเกี่ยวกับความรู้ก็ตาม แต่แนวความคิดทั้งหลายในแต่ละสาขาวิชา ยังคงมีส่วนสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกันมาก. วิธีการศึกษาที่ได้มาตรฐานในญานวิทยาอาจมีข้อจำกัดมากเกินไป และอาจคับแคบเกินไปสำหรับเรื่อง KM แต่มันไม่ถึงกับเป็นเรื่องที่ไม่ตรงประเด็นกันเลยทีเดียว
สำหรับรากฐานของมัน แนวความคิด KM เกี่ยวกับความรู้ อย่างน้อยที่สุด ควรที่จะเข้ากันได้กับการนิยามความหมายในทางญานวิทยา เพราะแม้ว่าความคิดในแต่ละสาขาวิชาจะสนใจแตกต่างกันในแนวคิดพื้นฐานของมันก็ตาม แต่มันก็ยังคงมีไอเดียหรือความคิดเดียวกันโดยสาระ
ประเด็นนี้ได้หวนกลับมาสู่การเน้นของข้าพเจ้า ในเรื่องขนบจารีตการวิเคราะห์แบบตะวันตก(Western Analytic tradition) มากกว่าขนบจารีตแบบภาคพื้นทวีป(Continental tradition). ในที่นี้ ความรู้สึกของข้าพเจ้าคือ แนวคิดเกี่ยวกับความรู้ของ KM ได้แยกออกห่างจากรากเหง้าต่างๆทางญานวิทยาไปแล้วเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องความรู้ และต้องได้รับการนำกลับมา มันเป็นประเด็นนี้ที่บทเรียนต่างๆควรได้รับการนำมาจากขนบจารีตปรัชญาวิเคราะห์: นั่นคือ ญานวิทยาในแบบจารีตเน้นว่า ความรู้ที่แท้จะต้องเป็นจริง
แม้ว่าการนิยามความหมายทางปรัชญาเกี่ยวกับความรู้ จะยืนยันถึงฐานะที่เป็นจริง, ความเชื่อที่พิสูจน์ได้หรือมีเหตุผล ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะไม่เป็นที่ถกเถียงกันอีกต่อไปแล้ว แต่ก็เป็นที่ชัดเจนตรงไปตรงมาว่า บางสิ่งบางอย่างไม่สามารถที่จะเป็นความรู้ได้ หากปราศจากสิ่งที่มันมีความเชื่อมโยงอย่างแข็งขันบางประการกับข้อเท็จจริงต่างๆที่เป็นจริงของโลก
คุณสามารถรู้อย่างแท้จริงถึงบางสิ่งบางอย่างได้อย่างไร โดยที่ความรู้นั้นไม่ได้เป็นจริงและถูกต้อง? คุณไม่สามารถรู้ได้ว่า คนที่แปลกแยกนั้นดำรงอยู่ท่ามกลางหมู่พวกเรา เพราะในข้อเท็จจริงแล้ว ไม่มีคนที่แปลกแยก แต่อย่างไรก็ตาม วิธีการที่"ความรู้"ได้ถูกนิยามโดย KM ปรากฏว่ามันได้สูญเสียความเชื่อมโยงโดยเฉพาะกับความคิดเกี่ยวกับความจริง ปัญหาคือว่า ตามการนิยามของ KM มันคล้ายกันมากกับแนวคิดเกี่ยวกับ"ความเชื่อ" - นิยามความหมายต่างๆเหล่านี้ ดูเหมือนว่าได้สูญเสียความความสำคัญของความมีเหตุมีผลและความจริงไป ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความรู้
ตัวอย่างการนิยามความหมาย"ความรู้"ของ Rumizen: ความรู้คือ - "ข้อมูลในบริบทที่ผลิตความเข้าใจที่สามารถปฏิบัติการได้" - [Information in context to produce actionable understanding] (2002: 6, 288) มาถึงตรงนี้ ถ้าบางสิ่งบางอย่างไม่สามารถได้รับการเรียกว่า"ข้อมูล"(information) มันก็ไม่เป็นจริง
นิยามความหมายนี้ดูเหมือนว่าเป็นที่ยอมรับกันอย่างตรงไปตรงมา อย่างน้อยที่สุดจากแง่คิดหรือทัศนะที่ว่า ความรู้จะต้องมีความเชื่อมโยงกันบางอย่างกับความจริง แต่บ่อยครั้ง เราใช้คำว่า"ข้อมูล"ในหนทางที่หลวมๆมาก ซึ่งรับรองความเป็นไปได้ที่ว่า ข้อมูลนั้นอาจผิดพลาดก็ได้ ดังนั้น มันจึงมีเหตุผลหรือเข้าใจได้ในการกล่าวว่า ใครบางคนอาจมีพื้นฐานความเชื่อ(ที่ผิดพลาด)อันหนึ่งเกี่ยวกับข้อมูลที่ผิดพลาด อย่างไรก็ตาม เรามีแนวโน้มที่จะคิดว่า ใครบางคนไม่สามารถมีความรู้ที่ผิดพลาดได้ - ในกรณีนี้ เราอาจจะกล่าวว่า ใครบางคนไม่สามารถรู้อะไรได้เลย ถ้าหากว่าสิ่งที่เขาคิดว่าเขารู้นั้นเป็นสิ่งที่ผิดพลาด
สำคัญยิ่งไปกว่านั้น มันดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้สำหรับบางสิ่งจะพบกับนิยามความหมายนี้ โดยไม่เป็นความรู้ที่แท้จริง เมื่อมันอาจมีความเป็นไปได้สำหรับข้อมูลที่ผิดพลาด"ที่จะผลิตความเข้าใจที่สามารถปฏิบัติได้" - สิ่งที่คุณทำอาจเข้าท่า แต่นั่นอาจเป็นเรื่องๆหนึ่งของความโชคดีจริงๆเท่านั้นความกังวลใจต่างๆในชนิดเดียวกันกับการนิยามความหมายของ Davenport & Prusak ในเรื่องความรู้: นั่นคือ "ความรู้เป็นส่วนผสมที่เลื่อนไหลของกรอบประสบการณ์ คุณค่า ข้อมูลเชิงบริบท และความเข้าใจชำนิชำนาญที่ได้นำเสนอโครงร่างหรือเค้าโครงอันหนึ่งขึ้นมา สำหรับการประเมินผลและการรวบรวมประสบการณ์และข้อมูลใหม่ (1985: 5)
ดูเหมือนว่า นิยามความหมายอันนี้มันมีปัญหามากกว่าของ Rumizen เพราะการให้นิยามความรู้ในฐานะที่เป็น"กรอบประสบการณ์" ยินยอมให้ความเชื่อของมนุษย์เกือบทั้งหมดกลายเป็นรูปแบบอันหนึ่งของความรู้ได้ ไม่ว่ามันจะถูกต้องหรือเป็นความเชื่อที่เป็นจริงก็ตาม การดำเนินรอยตามนิยามความหมายนี้ ข้าพเจ้ารู้ว่า คนที่แปลกแยกที่ดำรงอยู่ท่ามกลางหมู่พวกเรา, Elvis ยังคงมีชีวิตอยู่, และโรคเอดส์ได้รับการส่งมาโดยพระผู้เป็นเจ้าเพื่อลงโทษคนนอกศาสนา หรือที่ว่า DNA ของมนุษย์ได้รับการสร้างขึ้นมาโดยมนุษย์ต่างดาวด้วยการโคลนนิ่ง
จริงๆแล้ว บางที KM อาจสนใจในแนวคิดอันหนึ่งของ"ความรู้"ที่ยอมให้คำอ้างที่ไม่แท้(เก๊)หรือไม่ต้องพิสูจน์เช่นสิ่งเหล่านี้เป็นความรู้ที่แท้จริง บางที KM ควรได้รับการนำไปเชื่อมโยงกับการจัดการรูปแบบของความเชื่อทั้งหมดในระบบความเชื่อทั้งมวล และไม่เพียงเชื่อมกับความเชื่อที่แท้จริงต่างๆเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง บางที การจัดการความรู้(Knowledge management) ที่จริงแล้ว ควรได้รับการเรียกขานว่า "การจัดการความเชื่อ"(Belief Management)ใช่หรือไม่?
อย่างไรก็ตาม การกระทำเช่นนั้น ข้าพเจ้าเชื่อว่าจะเป็นสิ่งที่ผิดพลาด. จุดสำคัญในที่นี้คือว่า KM ควรได้รับการนำไปผูกโยงกับความรู้ที่สัมพันธ์กันและใช้ประโยชน์ได้ ข้าพเจ้าเรียกร้องว่า แนวความคิดเกี่ยวกับความรู้ทั้งมวลอันนั้น จะต้องธำรงรักษาความเชื่อมโยงอันหนึ่งกับความจริง อันนี้เพราะว่าโดยพื้นฐานของมัน ความรู้จะต้องถูกวางอยู่บนคุณสมบัติและกระบวนการต่างๆบนโลกที่เป็นจริง แม้ว่าแนวความคิดของเราเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ อาจได้รับการสร้างขึ้นในบางความหมายทางสังคม
สำหรับบางคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนเหล่านั้นที่มีพื้นฐานอยู่ในวิธีการศึกษาแบบภาคพื้นทวีปและการตีความเชิงวิพากษ์(hermeneutic approach)ในเรื่องความรู้ ความคิดต่างๆเหล่านี้ ดูเหมือนว่าจะชอบการโต้เถียงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเน้นของข้าพเจ้าบนเรื่องความจริง อาจดูเหมือนจะผิดที่ผิดทางไป โดยเฉพาะถ้าใครคนหนึ่งต้องการที่จะเน้นเรื่องความคิดเกี่ยวกับความรู้ในฐานะที่เป็นปฏิบัติการอันหนึ่งทางสังคม
ต่อคนเหล่านั้น ด้วยสถาบันต่างๆเหล่านี้ การโต้ตอบของข้าพเจ้าคือว่า แนวคิดทางสังคมเกี่ยวกับความรู้ ไม่เพียงเข้ากันได้กับไอเดียความรู้ในฐานะที่เป็นความจริงเท่านั้น แต่ยังเรียกร้องต้องการการวิเคราะห์โดยตลอดเกี่ยวกับผลิตผลของความรู้ในทางวิทยาศาสตร์ อันนี้คือประเด็นหนึ่ง ซึ่งถูกเน้นโดยบรรดานักปรัชญาทั้งหลายจำนวนมากเมื่อไม่นานมานี้ อย่างเช่น Hacking (1999) และ Kitcher (1993, 2001), ผู้ซึ่งได้ทำการสำรวจถึงความคิดต่างๆข้างต้น ที่ได้แสดงให้เห็นว่า มันสามารถประนีประนอมความคิดเกี่ยวกับความรู้ในฐานะที่เป็นปฏิบัติการทางสังคม กับ แนวความคิดเรื่องความรู้ในฐานะที่เป็นความจริง หรือความเชื่อที่มีเหตุผลพิสูจน์ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Hacking ได้ให้เหตุผลว่า ลัทธิประกอบสร้างทางสังคม(social constructivism) ไม่ได้ขัดแย้งกับการอิงอาศัยความจริง และนั่น เราสามารถมีความเข้าใจทางสังคมอย่างอุดมสมบูรณ์เกี่ยวกับแนวคิดจำนวนมาก ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์และทางด้านสังคม โดยมิได้สูญเสียแนวคิดที่สำคัญเกี่ยวกับคุณสมบัติและกระบวนการบนโลกที่เป็นจริงไปแต่อย่างใด
เหตุผลการอิงอาศัยต่อลัทธิสัจนิยมและความจริงนั้น เป็นสิ่งซึ่งเข้ากันได้กับแนวความคิดทางสังคมเกี่ยวกับความรู้ ที่ว่ามันไม่ได้ปฏิเสธข้อเท็จจริงที่ว่า ปัจจัยต่างๆทางสังคมมีความเป็นจริง ตัวอย่างซึ่งดีที่สุดอันหนึ่งที่แสดงให้เห็นประเด็นนี้ได้อย่างสมบูรณ์ก็คือ การที่เราทั้งหลายพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเงิน มันมีความหมายหรือนัยหนึ่งซึ่ง เงินเป็นสิ่งสร้างทางสังคมอย่างแน่นอน - แนวความคิดได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของมัน โดยผ่านขนบธรรมเนียมทางสังคมและความตกลงร่วมกัน แม้มันไม่ได้มีเงินอยู่ในธรรมชาติ กระนั้นก็ตาม เงินก็เป็นความจริงด้วย และรวมทั้งการพูดถึงของพวกเราทั้งหมดเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย, งบประมาณ, ตลาดการเงิน, ฯลฯ ก็เป็นจริงด้วยเช่นกัน
อันนี้ชัดเจนเกี่ยวกับแก่นแท้ที่เป็นจริง กับ แก่นแท้ของเรื่องที่เสกสรรค์ขึ้นมาอย่างบริสุทธิ์ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราพูดถึงอัตราของการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างเหรียญออสเตรเลีย กับเหรียญอเมริกัน เท่ากับ 0.67 ข้าพเจ้ากำลังสร้างข้ออ้างความเป็นจริงเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของโลก แม้ว่าอันนี้จะเป็นการสร้างข้อเท็จจริงขึ้นมาทางสังคมก็ตาม
สิ่งสำคัญคือ ข้ออ้างอันนี้อาจถูกหรือผิด และคุณค่าที่แท้จริงของข้ออ้างนี้สามารถทำให้เกิดความแตกต่างในทางปฏิบัติที่มีนัยสำคัญขึ้นมาได้ - ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่าข้าพเจ้าเป็นพนักงานธนาคารที่ทำหน้าที่รับจ่ายเงิน มันเป็นเรื่องที่สำคัญเกี่ยวกับความจริงในความหมายนี้ที่ข้าพเจ้าปรารถนาจะเน้นย้ำ เพื่อความเข้าใจทางปรัชญาเกี่ยวกับความรู้สำหรับเรื่อง KM
การอิงอาศัยความจริงมิได้ปฏิเสธความสำคัญของวัฒนธรรม หรือการตีความ หรือความเข้าใจ ทั้งหมดที่มันเกี่ยวข้องเป็นการอิงอาศัยในระดับพื้นฐานต่อข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นความจริงบางอย่างเกี่ยวกับโลก ประเด็นทั้งหมดในที่นี้คือว่า มันไม่ต้องการมีข้อขัดแย้งใดๆระหว่างลัทธิการประกอบสร้างทางสังคม กับ ความรู้ในฐานะที่เป็นจริง - อันที่จริงแล้ว ความเชื่อมโยงอันหนึ่งกับความจริง ดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของคำอธิบายทางสังคมเกี่ยวกับความรู้ ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงแก้ต่างเรื่อง KM โดยการธำรงรักษาความเชื่อมโยงกันอันหนึ่งกับความรู้ที่แท้ และไม่เป็นเพียงแค่ความเชื่อเท่านั้น
3. ปรัชญาที่สอดคล้อง - ปรัชญาของวิทยาศาสตร์และญานวิทยาทางสังคมRELEVANT PHILOSOPHY - PHILOSOPHY OF SCIENCE AND SOCIAL EPISTEMOLOGYข้าพเจ้าได้กล่าวไปแล้วว่า ญานวิทยาแบบขนบจารีตอาจมีข้อจำกัดในการนำไปใช้กับเรื่องของ KM เนื่องจากว่า มันได้ไปโฟกัสลงตรงที่ต้นตอกำเนิด และการแสดงเหตุผลข้อพิสูจน์เกี่ยวกับความรู้ส่วนบุคคล มากกว่าปฏิบัติการที่เป็นจริงของการใช้ความรู้, การแบ่งปันความรู้ และการแพร่กระจายความรู้
การที่ KM แรกทีเดียวเป็นเรื่องที่ผูกพันอยู่กับความรู้ ดังที่มันได้รับการก่อเกิด, แบ่งปัน, เก็บรักษา และใช้ประโยชน์ภายในสภาพแวดล้อมร่วมกันอันหนึ่งขึ้นมา ถ้าหากว่าเราจะมองไปที่ทฤษฎีทางปรัชญา เพื่อตระเตรียมรากฐานอันหนึ่งขึ้นสำหรับภารกิจต่างๆของ KM เราจะต้องค้นหาพื้นที่เหล่านั้นที่สามารถจะเกี่ยวโยงกับประเด็นปัญหาในเชิงปฏิบัติเหล่านี้ให้ได้ เช่นเดียวกับการตระเตรียมความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ในรูปแบบที่แตกต่างของความรู้และความสัมพันธ์ระหว่างพวกมัน. ทฤษฎีทางปรัชญาอันนั้น จะต้องช่วยให้เราเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ข้างใต้กระบวนการที่ตรงประเด็นกับเรื่องของ KM ด้วย
ในที่นี้ ข้อเสนอแนะของข้าพเจ้าคือว่า สถานที่ให้ผลอย่างอุดมสมบูรณ์มากที่สุด เพื่อค้นหาความเข้าใจทางปรัชญาอย่างถ่องแท้และตรงประเด็นสำหรับ KM ก็คือ ในผลงานเมื่อไม่นานมานี้ ทั้งในด้านปรัชญาวิทยาศาสตร์ และการปรากฏตัวขึ้นมาของสาขาวิชาความรู้เกี่ยวกับญานวิทยาทางสังคม แม้ว่ามันยังคงมีข้อจำกัดอยู่ที่จะไปเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับทฤษฎีทางปรัชญาพวกนี้ก็ตาม
แต่พื้นที่ทั้งหลายเหล่านี้ ก็ได้ถูกนำมาผูกพันกับคำถามที่ตรงไปตรงมาทำนองเดียวกัน กับคำถามเหล่านั้น ซึ่งสนใจต่อเรื่องการจัดการความรู้ และด้วยเหตุนี้ มันจึงสามารถที่จะจัดหาความเข้าใจอย่างถ่องแท้ให้กับประเด็นปัญหาต่างๆข้างต้น ดังนั้น พวกมันจึงควรสามารถที่จะจัดหาเครื่องมือต่างๆในทางทฤษฎีบางอย่าง ซึ่งสามารถที่จะได้รับการนำไปประยุกต์ใช้เพื่อสร้างคำอธิบายในทางทฤษฎีอันหนึ่งเกี่ยวกับงานความรู้ได้
มันเป็นขนบจารีตที่เข้มแข็งไปแล้วภายใน KM เกี่ยวกับการประยุกตใช้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งต่างๆจากปรัชญาวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลงานต่างๆของ Kuhn(1970) และ Popper (1959, 1972) ซึ่งเป็นที่น่าสนใจมากที่สุดต่อบรรดานักทฤษฎี KM จำนวนหนึ่ง. แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องกระบวนทัศน์(paradigm) โลกทัศน์อันหนึ่งโดยเฉพาะ ได้แสดงบทบาทที่สำคัญยิ่งในความเข้าใจที่ว่า ทำไมชุมชนหนึ่งของบรรดานักคิดทั้งหลาย -หรือคนงานความรู้(knowledge worker)- จึงต้องการแบ่งปันความเชื่อพื้นฐานบางอย่าง เพื่อที่จะทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
ไอเดียต่างๆของ Kuhn เกี่ยวกับ การไม่มีมาตรฐานร่วมกัน(incommensurability - ไม่สามารถตัดสินหรือวัดได้โดยมาตรฐานเดียวกัน) กลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อบรรดานักทฤษฎี KM เป็นจำนวนมาก. ความเข้าใจที่ลึกซึ้งของ Popper ในพื้นฐานเกี่ยวกับความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ยังช่วยทำให้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่อง KM ให้สมบูรณ์มากขึ้นด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม KM ได้ให้ความสนใจน้อยมากต่อพัฒนาการเมื่อไม่นานมานี้ ในเรื่องปรัชญาวิทยาศาสตร์ ซึ่งยึดถือวิธีการศึกษาที่แตกต่างไปมากทีเดียว ในเรื่องของการสำรวจค้นคว้าต่างๆ. แนวโน้มทางด้านปรัชญาวิทยาศาสตร์ไม่กี่ปีมานี้ได้เปลี่ยนแปลงจาก การพยายามพัฒนาคำอธิบายทั่วๆไปอันหนึ่งเกี่ยวกับว่า วิทยาศาสตร์คืออะไร (เช่นดังหลักฐานที่ปรากฎอยู่ในงานของ Popper และ Kuhn) ไปสู่การมองเข้าไปที่รายละเอียดอันประณีตของวิทยาศาสตร์อย่างใกล้มากๆ
รายละเอียดต่างๆอันประณีตเหล่านี้เกี่ยวโยงกับวิธีการที่สลับซับซ้อน ซึ่งบรรดานักทฤษฎีวิทยาศาสตร์ทั้งหลายได้พัฒนาขึ้นมา ในเทอมต่างๆที่เกี่ยวกับว่า ผลงานวิทยาศาสตร์, เหตุผล, การทดลอง, การทำงานร่วมกับผู้อื่น ฯลฯ เป็นอย่างไร
ด้วยเหตุนี้ Cartwright (1989a, 1989b) จึงเน้นถึงความสำคัญของสมรรถภาพเกี่ยวกับมูลเหตุในทางวิทยาศาสตร์ และ Dupre(1993) ได้สำรวจถึงความเกี่ยวพันทางด้านเมตตาฟิสิกส์(อภิปรัชญา)ของการแตกแยกเกี่ยวกับทัศนียภาพต่างๆ ซึ่งมีร่วมกันที่ข้ามขบวนแถวต่างๆของวิทยาศาสตร์
ผลงานในเชิงรายละเอียดของ Galison (1996, 1997) ได้มองไปที่บทบาททางด้านพลวัตของสังคมและการเมืองในชีวิตทางทฤษฎีของบรรดานักนิวเคลียรพิสิกส์. Hacking (1999) ก็ได้ทำการสำรวจประเด็นปัญหาต่างๆเหล่านี้ด้วยในรายละเอียดบางประการ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การประกอบสร้างทางสังคมเกี่ยวกับโลก มิได้นำมาซึ่งการสูญเสียความเชื่อมโยงกับอุดมคติต่างๆในทางญานวิทยาแบบจารีต อย่างเช่น ความถูกต้องและความจริง
ท้ายที่สุด Kitcher (1993) ได้พัฒนาแบบจำลองที่สลับซับซ้อนอันหนึ่ง เกี่ยวกับเหตุผลทางด้านวิทยาศาสตร์ในสภาพแวดล้อมร่วมกัน ที่ซึ่งปัจจัยๆทั้งหลายในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักวิจัยที่ต่างกัน ในการสร้างภาพรายละเอียดเกี่ยวกับผลผลิตทางความรู้ในบริบทของกลุ่ม
วิธีการศึกษาอันนี้ค่อนข้างที่จะตรงข้ามอย่างแหลมคม กับวิธีการศึกษาในเรื่องการจัดการความรู้. ปัจจุบัน ผลงานจำนวนมากเกี่ยวกับเรื่อง KM ได้รับข้อมูลและอิทธิพลจากการศึกษาต่างๆทางด้านปรัชญาและสังคมวิทยาวิทยาศาสตร์ อย่างเช่น ผลงานที่เขียนโดย Latour และ Woolgar (1986) และ Charlesworth et al. เหล่านั้น (1989)
อย่างไรก็ตาม ขณะที่สิ่งเหล่านี้เป็นคำอธิบายที่ดีเยี่ยมเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมต่างๆของงานทางความรู้ที่ทำร่วมกัน แต่พวกมันก็ได้รับการวางพื้นฐานอยู่บนปัญหาทางด้านอภิปรัชญาเกี่ยวกับลัทธิประกอบสร้างทางสังคม(social constructivism) ซึ่งล้มเหลวที่จะธำรงรักษาความเชื่อมโยงระหว่างความรู้และความจริงเอาไว้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเอาใจใส่ของข้าพเจ้าคือว่า วิธีการศึกษาต่างๆเหล่านี้มันนำเสนอรากฐานอภิปรัชญาที่อ่อนแออันหนึ่งให้กับการวิจัย และไม่ได้ให้คำอธิบายที่ชัดเจนเพียงพอเกี่ยวกับกระบวนการที่ทำงานอยู่ข้างใต้ในการสร้างความรู้ และสภาพแวดล้อมในการใช้ความรู้
ในที่นี้ วิธีการศึกษาทั้งหลายเกี่ยวกับการโฟกัสลงไปที่การทดลองของบรรดานักปรัชญาวิทยาศาสตร์ อย่างเช่น Gailson และ Kitcher สามารถให้การช่วยเหลือได้ ดังที่พวกเขาได้เน้นที่จะพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆเกี่ยวกับกระบวนการรับรู้ที่ตรงประเด็นทั้งหมด รวมถึงพลวัตทั้งหลายทางสังคมและปัจจัยต่างๆร่วมกัน ในการวิเคราะห์ที่สมบูรณ์เกี่ยวกับการผลิตความรู้
พื้นที่ซึ่งมีอนาคตหรือความหวังอื่นๆเกี่ยวกับการสืบค้นทางปรัชญาคือ การปรากฎตัวขึ้นมาของสาขาวิชาเกี่ยวกับญานวิทยาทางสังคม(social epistemology). อันที่จริง อันนี้ค่อนข้างมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับวิธีการศึกษาในทางปรัชญาวิทยาศาสตร์ดังที่เพิ่งพูดถึง และผู้คนพวกเดียวกันเป็นจำนวนมาก ก็กำลังทำงานอยู่ในสาขาวิชาความรู้นี้ ผลงานที่มีนัยสำคัญส่วนใหญ่ในสาขานี้ได้รวมเอาผลงานของ Kitcher (2001), Longino (2001), Solomon (2001), Goldman (1999) and Turner (1994, 2002) เอาไว้ด้วย
ญานวิทยาทางสังคมคือการยืดขยายของญานวิทยาแบบจารีต ซึ่งได้ผนวกเอาความสัมพันธ์ระหว่าง"ปัจจัยทางสังคม"กับ"ปัจจัยทางเหตุผล"เข้าไปในการวิเคราะห์ เกี่ยวกับกระบวนการผลิตความรู้
ขณะที่ยังมีการถกเถียงกันอย่างมาก ภายใน"ญานวิทยาทางสังคม"เกี่ยวกับความสำคัญของความจริง และนัยสำคัญของสัมพัทธนิยม (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระหว่าง Longino and Kitcher) เป็นที่ชัดเจนว่า วิธีการศึกษาเหล่านี้สามารถที่จะช่วยสนับสนุนทฤษฎีความรู้ร่วมกันได้ ซึ่งทำงานอยู่ในกรอบโครงร่างอภิปรัชญาสัจนิยมและพหุนิยม (ดังเค้าโครงในงานของ Cartwright 1999). อันนี้ยอมรับถึงมิติทางสังคมว่ามันมีนัยสำคัญในการผลิตความรู้ ขณะเดียวกันก็สงวนรักษาความคิดเกี่ยวกับความรู้ที่เชื่อมโยงอย่างลึกซึ้ง กับคุณสมบัติต่างๆที่แท้จริงและกระบวนการเอาไว้
ด้วยเหตุดังนั้น การประยุกต์ใช้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งจากญานวิทยาทางสังคม จะทำให้เกิดความเป็นไปได้ ที่จะสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับงานความรู้ซึ่งได้รับการวางอยู่บนพื้นฐานความจริง และยังรวมเข้ากับความสนใจทางสังคม, การปฏิบัติ, และความจริงที่สอดคล้องซึ่งเป็นแกนกลางของภารกิจต่างๆเกี่ยวกับการจัดการความรู้ด้วย
จุดเริ่มต้นของการวิเคราะห์ จะต้องกำหนดแง่มุมต่างๆของความรู้อย่างแม่นยำ ซึ่งตรงประเด็นหรือสอดคล้องกับโครงการเกี่ยวกับการจัดการความรู้ และการให้คำอธิบายเกี่ยวกับปัจจัยต่างๆที่อยู่ข้างใต้ส่วนประกอบของความรู้เหล่านี้ อันนี้จะเกี่ยวข้องกับการประเมินกระบวนการรับรู้ที่เข้ากัน ปัจจัยทั้งหลายทางสังคมและปฏิบัติการที่เป็นจริง ซึ่งเกี่ยวพันอยู่ในโครงการต่างๆเกี่ยวกับ KM
สิ่งเหล่านี้จะพัฒนาไปสู่รากฐานทางด้านทฤษฎีสำหรับงานเชิงปฏิบัติที่กระทำในเรื่อง KM ซึ่งธำรงรักษาความเชื่อมโยงอันหนึ่งเอาไว้กับ กระบวนการและคุณสมบัติต่างๆของโลกที่เป็นจริง. รากฐานดังกล่าวจะหลีกเลี่ยงข้อสรุปที่เป็นปัญหาที่ว่า ความรู้ได้รับการประกอบสร้างในทางสังคมขึ้นมาอย่างบริสุทธิ์ และด้วยเหตุดังกล่าว จะเสนอการวิเคราะห์ที่ทรงพลังอันหนึ่งเกี่ยวกับงานด้านความรู้
แต่อย่างไรก็ตาม ในเทอมต่างๆเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของการจัดการความรู้ การศึกษาที่ยอมรับกันทั่วไปในปัจจุบันในปรัชญาวิทยาศาสตร์และญานวิทยาทางสังคม ยังคงเป็นสิ่งที่ขาดแคลนอยู่บ้าง. ดังที่สาขาวิชาเหล่านี้ยืนอยู่ พวกมันได้นำเสนอคำอธิบายในรายละเอียดเกี่ยวกับการผลิตความรู้ แต่มีคำอธิบายเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยเกี่ยวกับการใช้ความรู้, การแบ่งปันความรู้, และการกระจายความรู้ แง่มุมที่เป็นแก่นแกนเหล่านี้ทั้งหมด เกี่ยวข้องกับโครงการต่างๆของ"การจัดการความรู้"
ส่วนหนึ่งของปัญหาในที่นี้คือ บรรดานักปรัชญาทั้งหลาย ดูเหมือนว่าจะไม่ให้ความสนใจในชนิดต่างๆของคำถามซึ่งเป็นสาระสำคัญของ KM. นักปรัชญาทั้งหลายยังคงยึดติดอยู่กับกระบวนทัศน์แบบ Cartesian และยังคงถูกครอบงำด้วยความเข้าใจในต้นตอและความมีเหตุผลของความรู้ มากกว่าพลวัตต่างๆของความรู้ในฐานะที่เป็นกระบวนการอันหนึ่ง
อันที่จริงแล้วในที่นี้ เราสามารถที่จะเลี้ยวกลับและมองไปที่ KM เพื่อเสนอแรงบันดาลใจบางอย่างให้กับปรัชญา ความท้าทายดังกล่าวที่ถูกกำหนดขึ้นมาโดยโครงการต่างๆเกี่ยวกับ KM สามารถถูกนำมาใช้เพื่อแสดงให้เห็นว่า ประเด็นปัญหาเหล่านี้ จริงๆแล้ว มันมีนัยสำคัญอย่างไร ซึ่งต้องการได้รับการสืบสาวค้นคว้าลงไปในรายละเอียด
ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ที่ได้รับมาจากโครงการ KM ที่แพร่หลายอยู่ สามารถได้รับการย้อนกลับไปยังทฤษฎีทางปรัชญาได้ อันนี้จะเกี่ยวพันกับการขยายคำอธิบายต่างๆเกี่ยวกับการผลิตความรู้ร่วมกัน ดังที่ได้รับการจัดหามาโดยปรัชญา สู่คำอธิบายที่กว้างขวางเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ของความรู้ร่วมกัน
อันนี้คือที่ทางซึ่งมิติในเชิงปฏิบัติการของ KM สามารถที่จะช่วยทำให้ความเข้าใจทางปรัชญาเกี่ยวกับธรรมชาติของความรู้ให้รุ่มรวยและสมบูรณ์มากขึ้น และด้วยเหตุนี้ มันจะน้อมนำสู่การศึกษาในเรื่อง KM ซึ่งได้วางอยู่บนรากฐานทฤษฎีทางปรัชญาที่สมบูรณ์และสอดคล้อง ให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น